aubeautycare

เกร็ดความรู้

123951_0

สารต้องห้ามในเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน

     1. ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)

สารไฮโดรควิโนนมักถูกผู้ผลิตผสมลงในเครื่องสำอางประเภทครีมหน้าขาว เนื่องจากสารตัวนี้จะไปยับยั้งกระบวนการทางเคมีในการสร้างเม็ดสี โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ที่ทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง
จึงทำให้ผิวของผู้ใช้ขาวขึ้น จากกลไกการออกฤทธิ์นี้ทำให้ไฮโดรควิโนนถูกนำมาใช้เป็นยาทาภายนอกสำหรับทารักษาผิวที่เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ
โดยต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือคำแนะนำของเภสัชกร และถูกสั่งห้ามผสมลงในเครื่อง
สำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป เนื่องจากผู้ผลิตเครื่องสำอางมักผสมไฮโดรควิโนนในปริมาณสูงและก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้

👉👉 ผลข้างเคียง หากใช้เครื่องสำอางที่มีสารไฮโดรควิโนนผสมอยู่ในปริมาณมากจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหนัง คือทำให้ผิวหนังบริเวณที่ทามีสีคล้ำมากขึ้น เกิดอาการแสบร้อน เป็นตุ่มแดง หากใช้อย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวร เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้การได้รับสารไฮโดรควิโนนเกินขนาดอาจทำให้ตัวยาถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด และส่งผลให้เกิดอาการสั่นหรือเกิดภาวะลมชักได้

     2. กรดเรติโนอิก (Retinoic acid) กรดเรติโนอิกมักถูกผสมลงในเครื่องสำอางประเภทครีมหน้าขาวเช่นเดียวกัน มีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งเซลล์และเร่งการผลัดเซลล์ของผิว นอกจากนั้นยังลดการเคลื่อนย้ายเม็ดสีมาที่เซลล์ผิวหนังและยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase) ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสี รวมทั้งออกฤทธิ์ป้องกันการสร้างสิวอุดตันซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวทั่วไป

👉👉 ผลข้างเคียง กรดเรติโนอิก อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ผิวหน้าอักเสบ หน้าลอก แพ้แสงแดดง่าย รวมถึงอาจเกิดภาวะผิวด่างขาวหรือผิวคล้ำได้ชั่วคราว ที่สำคัญคือ อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ด้วย

    3. ปรอท (mercury) จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ทำให้มีการสร้างเม็ดสีลดลง สีผิวจึงขาวขึ้น นอกจากนี้สารปรอทยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus จึงป้องกันสิวได้ด้วยเหตุนี้จึงมักมีการผสมสารปรอทลงในเครื่องสำอางประเภทที่อวดอ้างเรื่องความขาวใสทั้งหลาย โดยจาก ผลข้างเคียงสารประกอบของปรอททำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้ ผิวหน้าดำ มีผื่นแดง เกิดฝ้าถาวร ผิวบางลง หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนังและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ตับและไตอักเสบ เกิดโรค
โลหิตจาง และในสตรีมีครรภ์ สารปรอทจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและไปสู่ทารก ส่งผลให้ทารกในครรภ์อาจเกิดความพิการทางสมองได้

    4. สเตียรอยด์ (Steroid) มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารเคมีสื่อกลาง เช่น โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) และลิวโคไตรอีน
(Leukotriene) ที่ใช้ในการการสร้างเม็ดสี ทำให้ปริมาณเม็ดสีลดลง ส่งผลให้ผิวของผู้ใช้ขาวขึ้น นอกจากนี้ เมื่อผสมร่วมกับยาตัวอื่นเช่น ไฮโดรควิโนน หรือเรตินอยด์ เสตียรอยด์ก็จะไปเสริมการทำงานของยาเหล่านั้นด้วย เพราะเหตุนี้มันจึงมักถูกผสมลงในเครื่องสำอางหน้าขาวทั้งหลายเช่นกัน ผลข้างเคียง การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ในปริมาณมากและใช้เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิด
👉👉 ผลข้างเคียงหลายประการ เช่น ผิวหนังมีผดผื่นขึ้นง่าย ผิวหน้าบาง ไวต่อแสง เกิดรอยแตกบนผิวหนัง เส้นเลือดใต้ผิวหนังผิดปกติ ทำให้มีอาการหน้าแดงอยู่ตลอดเวลา ผิวหนังมีสีจางลง หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ผิวเกิดด่างขาวถาวร

จะเห็นได้ว่า เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารต้องห้ามนั้น มีผลข้างเคียงที่น่ากลัวไม่น้อยเลยนะคะ ดังนั้น เมื่อจะซื้อเครื่องสำอางทุกครั้ง คุณผู้อ่านก็ควรเลือกซื้อจากสถานที่จำหน่ายที่มีหลักแหล่งน่าเชื่อถือ ระวังเครื่องสำอางประเภทที่อวดอ้างสรรพคุณมากจนเกินไป และหากใช้เครื่องสำอางชนิดใดแล้วรู้สึกว่าเกิดอาการผิดปกติมีอาการคัน ผิวหนังอักเสบ ก็ควรหยุดการใช้ทันที และรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาต่อไป

หากพูดถึงสกินแคร์ทั่วๆไป. ก็จะนึกถึงไฮยาลูรอน
👉 สารสกัดที่จะช่วยการเติมเต็มน้ำให้กับผิวเรา

ธรรมชาติร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ โดยปกติแล้วร่างกายของเราก็จะสามารถผลิตไฮยารูรอนขึ้นมาเองได้. แต่ว่าเมื่อเราเริ่มมีอายุมากขึ้นการผลิตไฮยารูรอนเริ่มน้อยลงๆตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป การผลิตค่อนข้างน้อยลงแล้วก็ต่ำลงมากๆ

ถ้าร่างกายของเราผลิตไฮยารูรอนได้น้อยลงสะสม จะผลอย่างไร⁉️

ถ้าร่างกายหรือใบหน้าของเราขาดกรดไฮยารูรอนจะส่งผลให้ผิวเราหมองคล้ำ แห้งกร้าน เวลาอาบน้ำแล้วก็สูญเสียความชุ่มชื้นนั่นเอง
จะสังเกตตัวเองได้ง่ายๆ เมื่อเราทาครีมไปแล้วครีมจะไม่ซึมลงสู่ผิว ทายังไงก็ไม่ได้ผล ใช้ครีมอะไรก็ไม่ได้ผล
ซึ่งหากไม่แก้ไข ปล่อยให้ผิวขาดไฮยารูรอนมากๆ ก็จะส่งผลให้ใบหน้าของเราหรือผิวของเราเกิดริ้วรอย ร่องลึก ส่งผลให้ผิวของเราแก่ขึ้นนั่นเอง
👉 ดังนั้นทางการแพทย์ก็เลยคิดค้นแล้วก็วิจัยเพื่อที่จะชดเชยกรดไฮยารูรอนตัวนี้ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมานั่นเอง
และไฮยารูรอนที่สร้างขึ้นมาก็ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ ไม่ว่าจะเป็นเซรั่มหรือครีมก็แล้วแต่ ที่เราเห็นตามท้องตลาดทั่วไป

โดยสมาคมแพทย์ผิวหนังสหรัฐอเมริกายืนยันว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวแห้ง และลดเลือนริ้วรอยได้ เพราะว่ามีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ สามารถกักเก็บน้ำในชั้นผิว และส่งผลให้ริ้วรอยต่างๆค่อยๆจางลงได้จริง

แต่รู้หรือไม่เพราะว่าไฮยารูรอนที่ผลิตแล้วก็คิดค้นพัฒนาขึ้นมาใส่ไว้ในสกินแคร์ต่างๆตามท้องตลาดไม่ได้เหมือนกันทุกตัว

เพราะว่าไฮยารูรอนิกแต่ละตัวเขาจะมีโมเลกุลที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละโมเลกุลที่แตกต่างกัน ทำให้ซึมเข้าสู่ชั้นผิวที่แตกต่างกันด้วย

ถ้าหากมีโมเลกุลเล็ก ยิ่งเล็กก็สามารถซึมลงสู่ชั้นผิวได้ดีแล้วก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นเอ.ยูเซรั่ม ของเราจึงเลือกใช้เป็นไฮยารูรอนิก acid 7 ที่แตกต่างจากไฮยาตามท้องตลาดทั่วไป

ซึ่ง 7 โมเลกุลนี้สามารถบำรุงได้ล้ำลึกแล้วก็มีประสิทธิภาพมากกว่านั่นเอง

ไฮยารูรอนิก 7 ชนิด มีอะไรบ้าง

❤️ ไฮยาชนิดแรก ช่วยกักเก็บน้ำในผิว ลดการเกิดริ้วรอย โดยสร้างฟิล์ม เพื่อให้คงความชุ่มชื้นไว้
❤️ ไฮยาชนิดที่ 2 เป็นกรดไฮยาลูรอนิกส์ที่เป็นประจุบวกช่วยสร้างฟิล์มบนผิวของเราเพื่อเก็บกักน้ำในผิว
❤️ ไฮยาชนิดที่ 3 คือ โซเดียมไฮยาลูโนเลต ช่วยดึงน้ำจากภายนอกเข้าสู่ผิวของเรา และช่วยสร้างฟิล์มบนผิว เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำในผิว

❤️ ไฮยาชนิดที่ 4 โพแทสเซียม ไฮยาลูโรเนตช่วยดึงน้ำจากด้านในของผิวไปยังด้านนอก เพื่อให้ความชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานตลอดทั้งวัน

❤️ ไฮยาชนิดที่ 5 เป็นชนิดซึมลึก โมเลกุลนี้จะช่วยรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นภายในผิวของเรา

❤️ ไฮยาชนิดที่ 6 ชนิดนี้เป็นโมเลกุลที่เล็กมากๆ แล้วก็เล็กที่สุดช่วยให้ความชุ่มชื้นจากภายในผิวได้อย่างล้ำลึกมากๆ. แล้วก็สามารถดูแลผิวแห้ง ผิวขาดน้ำได้ดีมากๆ และยังช่วยลดความตึงเครียดของผิวได้อีกด้วย

❤️ ไฮยาชนิดที่ 7 ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นจากภายใน หรือที่เราเรียกกันว่าเป็นตัวที่ช่วยล็อคความชุ่มชื้นให้กับผิวนั่นเอง และนี่ก็คือสรรพคุณของไฮยาทั้ง 7 ชนิด ซึ่งทั้ง 7 ชนิดนี้มีอยู่ใน AU brightening concentrate Serum แล้วก็ไม่ได้มีแค่ 7 ชนิดนี้แต่ว่ายังมีสารสกัดอื่นๆอีก 4 ชนิดที่ช่วยกันทำงานในเรื่องของรักษาผิวให้กับชุ่มชื้น ให้กับผิวของเราอีกด้วย